วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2564

เมื่อเจ้าของติดโควิด ใครจะดูแลสัตว์เลี้ยงแสนรัก

 

 สมาคมสัตวแพทย์ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ แนะวิธีดูแลสัตว์เลี้ยง หากเจ้าของติดโควิด-19


เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมสัตวแพทย์ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย The Veterinary Practitioner Association of Thailand (VPAT) ได้จัดทำข้อควรปฏิบัติกับสัตว์เลี้ยง หากเจ้าของติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 เพื่อเป็นแนวทางในการช่วยดูแลสัตว์เลี้ยงหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา จะได้มีแผนรับมือ โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้


กรณีที่ท่านเป็นเจ้าของคนเดียว และจำเป็นต้องนำสัตว์เลี้ยงไปฝากที่สถานพยาบาลสัตว์

1. ให้ผู้ป่วยโควิด-19 หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์เลี้ยง เช่นลูบหัว กอดหรือจูบตัวสัตว์ เพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อไปยังสัตว์เลี้ยง

2. ให้โทรติดต่อสถานพยาบาลสัตว์ที่สามารถรับฝากดูแลสัตว์เลี้ยงได้ในกรณีที่ท่านต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล สถานพยาบาลสัตว์ที่พร้อมรับฝากสัตว์เลี้ยงในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้จะส่งเจ้าหน้าที่พร้อมชุดอุปกรณ์ป้องกันมารับตัวสัตว์เลี้ยงไปที่สถานพยาบาลสัตว์ โดยผู้ป่วย
ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปที่สถานพยาบาลสัตว์ด้วยตนเอง


3. ผู้ป่วยสามารถให้เพื่อน หรือญาติที่มิได้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 นำสัตว์เลี้ยงไปสถานพยาบาสสัตว์แทนได้ โดยให้ผู้ที่นำสัตว์เลี้ยงไปสถานพยาบาลสัตว์สวมเครื่องป้องกันที่เหมาะสม ได้แก่ ถุงมือและหน้ากากอนามัย และแจ้งให้สถานพยาบาลสัตว์รับทราบก่อนล่วงหน้า

ต้องอ่าน! เมื่อเจ้าของติดโควิด ใครจะดูแลสัตว์เลี้ยงแสนรัก

กรณีที่ท่านมีสมาชิกในบ้านท่านอื่นๆ ที่มิได้ป่วยด้วยโรคโควิด-19

1. ให้ผู้ป่วยโควิด-19 หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์เลี้ยง เพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อไปยังสัตว์เลี้ยง

2. ห้ามทำความสะอาดสัตว์เลี้ยง ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือแอลกอฮอล์ หากมีความประสงค์จะทำความสะอาดตัวสัตว์ ให้อาบน้ำด้วยแชมพูสำหรับสัตว์ปกติ


3. ให้สมาชิกในครอบครัวท่านอื่นๆ เป็นผู้ดูแลสัตว์เลี้ยงแทน แต่ยังคงให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสแบบใกล้ชิด เช่นการการจูบสัตว์ การลูบหัว การเลียมือหรืออวัยวะในร่างกาย หรือ การนำสัตว์เลี้ยงนอนในห้องนอนเดียวกับผู้เลี้ยงเป็นเวลา 14 วัน

4. ผู้ดูแลสัตว์เลี้ยงที่สัมผัสกับผู้ป่วยควรสวมเครื่องป้องกัน ได้แก่ ถุงมือและหน้ากากอนามัย และทำการล้างมือทุกครั้งหลังจากสัมผัสสัตว์เลี้ยง

5. หากสัตว์เลี้ยงมีอาการป่วยแบบไม่รุนแรง ให้โทรหาสัตวแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาในการดูแลเบื้องต้น

6. หากสัตว์เลี้ยงมีอาการป่วยแบบรุนแรง ให้โทรแจ้งสัตวแพทย์ล่วงหน้า และให้สมาชิกในครอบครัวที่มิได้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 เป็นผู้พาสัตว์เลี้ยงไปยังสถานพยาบาลสัตว์

ต้องอ่าน! เมื่อเจ้าของติดโควิด ใครจะดูแลสัตว์เลี้ยงแสนรัก

กรณีเมื่อท่านอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโควิด-19 และจำเป็นต้องกักตัว 14 วัน

1. ท่านสามารถดูแลสัตว์เลี้ยงของท่านได้ตามปกติ แต่หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์เลี้ยงอย่างใกล้ชิด เช่น การจูบสัตว์ การลูบหัว การเลียมือหรืออวัยวะในร่างกาย หรือ การนำสัตว์เลี้ยงนอนในห้องนอนเดียวกับผู้เลี้ยง และสวมเครื่องมือป้องกันเมื่อสัมผัสสัตว์ เพื่อลดการปนเปื้อนของเชื้อไปยังสัตว์เลี้ยง

2. หากมีสมาชิกท่านอื่นในครอบครัว ให้สมาชิกท่านอื่นๆ เป็นผู้ดูแลสัตว์เลี้ยงแทน แต่ยังคงให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสแบบใกล้ชิด ควรสวมเครื่องป้องกันเมื่อสัมผัสสัตว์ และทำการล้างมือทุกครั้งหลังจากสัมผัสสัตว์เลี้ยง และให้รักษาระยะห่างจากผู้ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างเคร่งครัด

3. หากสัตว์เลี้ยงมีอาการป่วยแบบไม่รุนแรง ให้โทรหาสัตวแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาในการดูแลเบื้องต้น

4. หากสัตว์เลี้ยงมีอาการป่วยแบบรุนแรง ให้โทรแจ้งสัตวแพทย์ล่วงหน้า และให้สมาชิกในครอบครัวที่มีได้ป่วยด้วยโรคโควิด-19 เป็นผู้พาสัตว์เลี้ยงไปโรงพยาบาล

5. ในกรณีที่ท่านพักอาศัยอยู่เพียงลำพัง ให้โทรติดต่อโรงพยาบาลสัตว์ที่สามารถรับฝากดูแลสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง โรงพยาบาลสัตว์ที่พร้อมรับฝากสัตว์เลี้ยงในกลุ่มนี้จะส่งเจ้าหน้าที่พร้อมชุดอุปกรณ์ป้องกันมารับตัวสัตว์เลี้ยงไปที่โรงพยาบาลสัตว์

 

ขอบคุณข้อมูล :  สมาคมสัตวแพทย์ผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์แห่งประเทศไทย และ www.pptvhd36.com


วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2564

'ฌาปนกิจสัตว์เลี้ยง' สิ่งสุดท้ายที่เจ้าของจะทำได้ ก่อนจากกันชั่วนิรันดร์

 

สัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็น น้องหมา น้องแมว ไก่ นก หรือสัตว์อื่นๆ ที่เราเอามาเลี้ยงนั้น เปรียบเสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่ง เห็นได้จากหลายครอบครัวที่รักสัตว์เลี้ยงเหมือนลูก เหมือนหลาน มอบความรัก การดูแลซึ่งกันและกันมาโดยตลอด แต่เมื่อสัตว์เลี้ยง ที่ถือเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวต้องจากไป สิ่งที่เจ้าของอย่างเราจะทำได้ให้กับสมาชิกในครอบครัว คือ การเก็บความทรงจำสุดท้าย ก่อนจากกันชั่วนิรันดร์ 

'ไทยรัฐออนไลน์' ได้นำเสนอเรื่อง การจัดฌาปนกิจสำหรับคนที่เป็น โสด ขึ้นคาน ไร้ทายาท ไปแล้ว คราวนี้ขอนำเสนอเรื่องราวของสัตว์เลี้ยงกันบ้าง ......

นางสาวภัสสร ภัสสรศิริ เจ้าของธุรกิจฌาปนกิจสัตว์เลี้ยง 'เพ็ทมาสเตอร์' (Pet Master) กล่าวว่า ครอบครัวของตนมีธุรกิจทำเตาเผาศพไร้มลพิษของคน จัดส่งตามวัดต่างๆ อยู่แล้ว และส่วนตัวเองก็เลี้ยงสัตว์ น้องหมา น้องแมว อยู่แล้ว เวลาที่สัตว์เลี้ยงของเราตาย ส่วนใหญ่จะฝังไว้ที่บ้านและทำพิธีเอง

หลังจากนั้นไม่นาน ตนได้ย้ายมาอยู่ที่คอนโดฯ ทำให้ไม่มีพื้นที่สำหรับฝังศพสัตว์เลี้ยง เราจึงมองว่านี่คือโจทย์ใหญ่ของเรา จึงตัดสินใจพูดคุยกับครอบครัวว่า อยากทำเป็นเตาเผาสัตว์เลี้ยงด้วย ก็คือเริ่มมาจากปัญหาของตนเองก่อน จึงเป็นที่มาของการทำธุรกิจนี้

"สาเหตุสำคัญคือ เราไม่อยากเอาสัตว์เลี้ยงของเราไปโยนทิ้งถังขยะ จึงคิดอยากให้มีการเผา ทำพิธีเป็นกิจจะลักษณะและครบวงจร เนื่องจากเราก็รักเขา เหมือนเป็นคนในครอบครัว ในหลายๆ ประเทศก็มีธุรกิจแบบนี้ จึงสนใจ และเริ่มศึกษากฎหมายต่างๆ เพื่อเริ่มธุรกิจ โดยได้ร่วมกับวัด ดูแลทั้งหมด ทั้งเตาเผาแบบไร้ควัน โลงศพ หรือแม้กระทั่งการสร้างศาลาสำหรับทำพิธีให้สัตว์เลี้ยง"

อย่างไรก็ตาม ตนมองว่า ถ้าทุกวัดมีเตาเผาสัตว์เลี้ยง เชื่อว่า คิดว่าจะสามารถช่วยแก้ปัญหาสังคมได้ส่วนหนึ่ง ดีกว่านำไปทิ้งขยะหรือทิ้งลงน้ำ เพราะสัตว์เลี้ยงเวลาที่ตายแล้วก็ถือว่าเป็นขยะติดเชื้อด้วย หากนำไปทิ้ง มองว่าจะเป็นการสร้างปัญหามลพิษเพิ่มด้วย

สำหรับการฌาปนกิจสัตว์เลี้ยงของเพ็ทมาสเตอร์ เราจะเริ่มตั้งแต่ การจัดหาวัดสำหรับพิธี จองศาลา เลือกโลงศพ ซึ่งผลิตเอง มีให้เลือกทั้งแบบไม้ และแบบกระดาษเพื่อประหยัดเชื้อเพลิง จากนั้นเจ้าของก็จะต้องพาสัตว์เลี้ยงไปที่วัด เจ้าหน้าที่ของวัดก็จะเตรียมดอกไม้ ธูป เทียน รวมทั้งผ้าขาวห่อศพไว้ให้ จากนั้นก็จะนิมนต์พระ 1 รูป เพื่อถวายสังฆทานและอุทิศส่วนกุศลให้แก่สัตว์เลี้ยง

ทั้งนี้ หากต้องการพวงหรีด หรือเผาเสร็จแล้วต้องการให้ลอยอังคารก็สามารถทำได้ รวมทั้งยังมีบ้านเก็บกระดูกหลังเล็กๆ สำหรับสัตว์เลี้ยงด้วยเช่นกัน ส่วนค่าใช้จ่ายเริ่มต้นจะอยู่ที่ 1,500 บาท สำหรับการเผาอย่างเดียว และขึ้นอยู่กับน้ำหนัก ขนาดตัวของสัตว์เลี้ยง และถ้าเจ้าของต้องการให้ทำพิธีต่างๆ ด้วย ก็จะมีค่าใช้จ่ายของทางวัดเองต่างหาก

"ตอนนี้ทำธุรกิจมานานกว่า 5 ปีแล้ว ผลตอบรับออกมาดี มีลูกค้าเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะนี้มีลูกค้าเฉลี่ย 50-100 รายต่อเดือน และก็จะมีสัตว์เลี้ยงที่หลากหลาย ทั้ง สุนัข แมว ปลา กระต่าย นก หรือแม้กระทั่งหมูตัวเล็กๆ ก็มีด้วยเช่นกัน"

อย่างไรก็ตาม ในอนาคตยังมีอีกหนึ่งธุรกิจที่จะทำควบคู่ไปด้วย คือการทำจิวเวลรี่ของคนที่เรารัก เก็บไว้เป็นความทรงจำ โดยนำอัฐิมาทำเป็นเครื่องประดับ รับทำทั้งของคนและของสัตว์เลี้ยงอีกด้วย

(ภาพจากเฟซบุ๊กแฟนเพจ Pet Master)

ขอบคุณที่มา www.thairath.co.th

ธุรกิจสัตว์เลี้ยง “ แท็กซี่มะหมา “ ธุรกิจสร้างรายได้จากความรัก

 

ธุรกิจสัตว์เลี้ยง “ แท็กซี่มะหมา “ ธุรกิจสร้างรายได้จากความรัก

ธุรกิจสัตว์เลี้ยง “แท็กซี่มะหมา“ ธุรกิจสร้างรายได้จากความรัก

หากใครเป็นคนที่รักสัตว์เลี้ยงก็คงจะต้องประสบกับปัญหาไม่สามารถเรียกรถแท็กซี่พาน้องหมาไปทำธุระสำคัญที่ต่างๆได้ใช่ไหมครับ ต่อไปนี้คนรักหมาจะไม่ต้องลำบากใจอีกแล้วครับเพราะมีบริการน้องหมารูปแบบใหม่ขึ้นมา บริการที่ว่านี้ก็คือ “แท็กซี่มะหมา“ ธุรกิจนี้นอกจากจะได้ช่วยคนรักหมาแล้วยังจะช่วยเสริมสร้างรายได้อีกด้วย โดยถึงแม้จะเป็นบริการที่แปลกใหม่แต่ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าจะมีคนสนใจและเรียกใช้บริการอย่างมากมายครับ ซึ่งหากใครที่เป็นคนรักน้องหมาและอยากมีรายได้ละก็ธุรกิจ “แท็กซี่มะหมา“ ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ

สำหรับเจ้าของแนวคิด “ แท็กซี่มะหมา “ นี้ก็คือ คุณฐิติมา น้อยพานิช และ คุณสุทิศา ปาติยเสวี “ จุดเริ่มต้นของธุรกิจสัตว์เลี้ยงก็คือ การที่ทั้งสองนั้นเคยประสบปัญหาไม่สามารถเรียกรถแท็กซี่พาน้องหมาไปทำธุระสำคัญตามสถานที่ต่างๆได้ ทั้งสองจึงลองคิดหาวิธีแก้ปัญหาดูและด้วยใจที่อยากทำธุรกิจอยู่แล้ว จึงปิ๊งไอเอียและทำให้เกิดธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่มีชื่อว่า “แท็กซี่สำหรับสุนัข” ภายใต้แบรนด์แบรนด์ที่มีชื่อว่า “Petxi Limo” โดยก่อนการจะเริ่มนั้นทั้งสองก็ได้สำรวจดูก่อนว่ามีธุรกิจนี้อยู่มากน้อยเท่าไหร่ มีมาตรฐานอย่างไร และคิดราคาแบบไหน เมื่อสำรวจแล้วก็พบว่าธุรกิจสัตว์เลี้ยงนี้มีคนทำไม่มาก ที่มีก็คือเป็นรถแท็กซี่มิเตอร์ที่ผันตัวเองมาจากรับคน มาเป็นรับสุนัขหรือแมว

ธุรกิจสัตว์เลี้ยง “ แท็กซี่มะหมา “ ธุรกิจสร้างรายได้จากความรัก ธุรกิจสัตว์เลี้ยง “ แท็กซี่มะหมา “ ธุรกิจสร้างรายได้จากความรัก

และก็มีเป็นรูปแบบที่ขนส่งสุนัขและแมวโดยเฉพาะ ซึ่งทั้งสองก็อยากให้เจ้าของนั้นนั่งไปกับน้องหมาด้วย ด้วยจุดนี้เองจึงเริ่มต้นให้เป็นจุดเด่น และตัดสินใจถอยรถมือสองมาปรับสภาพทั้งหมด โดยขยายพื้นที่ให้กว้างขึ้น เปลี่ยนเบาะให้เป็นหนัง และปูผ้าอีกชั้นเพื่อรองรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น รวมถึงการทำความสะอาดฆ่าเชื้อหลังจากเสร็จภารกิจทุกครั้ง เพื่อให้พร้อมสำหรับลูกค้ารายใหม่ ปัจจุบันทั้งคู่มีรถแล้วทั้งหมด 3 คัน ใช้เงินไปแล้วร่วมล้านบาท โดยเป็นการทยอยลงทุนทีละขั้น

ธุรกิจสัตว์เลี้ยง “ แท็กซี่มะหมา “ ธุรกิจสร้างรายได้จากความรัก

ระยะแรกของธุรกิจสัตว์เลี้ยงได้รับการตอบรับดีมาก ซึ่งก็มาจากการใช้บริการแล้วติดใจแล้วบอกต่อๆกันไป ดังนั้นลูกค้าส่วนใหญ่จึงมาจากการบอกต่อ ส่วนที่มีมาบ้างก็เกิดจากการโปรโมททางอินเทอร์เน็ต และการประชาสัมพันธ์ตามโรงพยาบาลสัตว์ โรงแรม และสัตว์ว่ายน้ำน้องหมา ส่วนการรับงานนั้นก็จะต้องมีการสอบถามข้อมูลส่วนตัวของน้องหมาก่อน เช่น หมาพันธุ์อะไร ขนาดเท่าไหร่ นิสัยเป้นอย่างไร เป็นต้น แต่ที่สำคัญมากๆคือ หมาชื่ออะไร โดยที่สำคัญนั้นก็เพราะการได้เอ่ยชื่อน้องหมาครั้งแรกที่เจอเป็นการสร้างความคุ้นเคย เพื่อที่จะลดความเครียดที่จะเกิดขึ้นกับน้องหมา และลดความเสียหายที่จะเกิดที่กับรถ ซึ่งเจ้าของส่วนมากไม่ค่อยจะเข้าใจ ทั้งคู่ก็ต้องอธิบายให้ลูกค้านั้นเข้าใจตรงกัน

ธุรกิจสัตว์เลี้ยง “ แท็กซี่มะหมา “ ธุรกิจสร้างรายได้จากความรัก

สำหรับการแข่งขันในธุรกิจสัตว์เลี้ยงนั้น ปัจจุบันมีคนเข้ามาทำธุรกิจสัตว์เลี้ยงนี้เป็นอย่างมาก แต่ทั้งคู่ไม่เคยมองเป็นคู่แข่ง มองเป็นพันธมิตรมากกว่า เพราะส่วนตัวนั้นบางครั้งทั้งคู่ก็ติดปัญหาไม่สามารถไปด้วยตัวเองได้ ก็จะยกลูกค้าให้พันธมิตรไป ทั้งนี้ทั้งคู่ยังกล่าวอีกว่าธุรกิจสัตว์เลี้ยงนั้นมีการแข่งขันสูงแต่สำหรับเขาแล้วทุกธุรกิจมีช่องว่างเสมออยู่ที่เราค้นหาหรือเปล่า โดยหากใครสนใจธุรกิจสัตว์เลี้ยงนั้นที่สำคัญเลย คือการต้องมีใจรักก่อน ส่วนการศึกษาหาความรู้นั้นก็เพียงใช้อินเตอร์เน็ตก็สามารถเข้าถึงเรื่องต่างๆได้แล้ว และปัจจัยที่สำคัญก็คือการหมั่นไปสัมผัสตลาดของจริง อย่างการไปเดินดูงาน exhibition ต่างๆ ซึ่งนอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังได้ไอเดียอีกด้วย

ธุรกิจสัตว์เลี้ยง “ แท็กซี่มะหมา “ ธุรกิจสร้างรายได้จากความรัก ธุรกิจสัตว์เลี้ยง “ แท็กซี่มะหมา “ ธุรกิจสร้างรายได้จากความรัก

ข้อมูลติดต่อธุรกิจสัตว์เลี้ยง
โทร 092.4090-444 , 092.390-5666
อีเมลล์ petxilimo@gmail.com
เว็บไซต์ Petxi Limo
Facebook : https://www.facebook.com/petxilimo

ที่มา www.smeleader.com

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2564

แจกฟรี!! แบบและขั้นตอนการทำวีลแชร์สุนัขจาก ม.สุรนารี

 Dogilike.com :: แจกฟรี!! แบบและขั้นตอนการทำวีลแชร์สุนัขจาก ม.สุรนารี

 

      วันนี้ปังปอนด์มีข่าวดีมาบอกเพื่อน ๆ ชาวด็อกไอไลค์ (Dogilike) กันอีกเช่นเคยค่ะ โดยเฉพาะกับเพื่อน ๆ คนรักน้องหมาที่ที่บ้านมีน้องหมาขาพิการ และไม่มีกำลังพอที่จะซื้อวีลแชร์ที่มีราคาค่อนข้างสูง ...

      
เพราะวันนี้ค่ะ ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ที่นำโดย นายภุชงค์ โยธา สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา ชั้นปี 3 สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ผู้คิดค้นประดิษฐิ์วีลแชร์สำหรับสุนัขได้แจกแบบและขั้นตอนวิธีการเพื่อนำไปใช้งานในการทำวีลแชร์สุนัขโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

     โดยวีลแชร์เพื่อสุนัขพิการดังกล่าวนี้ เพื่อน ๆ สามารถผลิตจากวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องตลาด ประกอบด้วย ท่อ PVC ข้อต่อ PVC ผ้าหนังรับน้ำหนัก ล้อสำเร็จรูป กาวทาหนัง กาวร้อนเชื่อมท่อ PVC ใช้งบประมาณ 300-500 บาทต่อ 1 คัน และใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น และขนาดของวีลแชร์สามารถเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสมและขนาดของสุนัขอีกด้วยค่ะ
 

Dogilike.com :: แจกฟรี!! แบบและขั้นตอนการทำวีลแชร์สุนัขจาก ม.สุรนารี






      สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจจะทำวีลแชร์ให้น้องหมาพิการที่บ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง เพื่อน ๆ ก็สามารถเข้าไปดูแบบและขั้นตอนการทำได้แบบฟรี ๆ ได้ ที่นี่ เลยค่ะ
 

Dogilike.com :: แจกฟรี!! แบบและขั้นตอนการทำวีลแชร์สุนัขจาก ม.สุรนารี

Dogilike.com :: แจกฟรี!! แบบและขั้นตอนการทำวีลแชร์สุนัขจาก ม.สุรนารี

Dogilike.com :: แจกฟรี!! แบบและขั้นตอนการทำวีลแชร์สุนัขจาก ม.สุรนารี

Dogilike.com :: แจกฟรี!! แบบและขั้นตอนการทำวีลแชร์สุนัขจาก ม.สุรนารี

Dogilike.com :: แจกฟรี!! แบบและขั้นตอนการทำวีลแชร์สุนัขจาก ม.สุรนารี


Dogilike.com :: แจกฟรี!! แบบและขั้นตอนการทำวีลแชร์สุนัขจาก ม.สุรนารี

อาจเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสมและขนาดของสุนัข

Dogilike.com :: แจกฟรี!! แบบและขั้นตอนการทำวีลแชร์สุนัขจาก ม.สุรนารี

Dogilike.com :: แจกฟรี!! แบบและขั้นตอนการทำวีลแชร์สุนัขจาก ม.สุรนารี


 

ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์พิเศษ
"ติดตามเรื่องราวของ น.ศ.วิศวะใจดี ผู้ออกแบบวีลแชร์ฟรีให้หมาพิการ"


Dogilike.com :: แจกฟรี!! แบบและขั้นตอนการทำวีลแชร์สุนัขจาก ม.สุรนารี

ขอบคุณที่มา https://www.dogilike.com/

ร่วมบริจาคอาหารสุนัขและแมว ให้บ้านลุงเตี้ย เพื่อสี่ขาหมาจร สุพรรณบุรี


ร่วมบริจาคอาหารสุนัขและแมว ให้บ้านลุงเตี้ย เพื่อสี่ขาหมาจร สุพรรณบุรี
ขอความเมตตาช่วยบริจาคอาหารสุนัขและแมวจร
จำนวน 350ชีวิตได้มีอาหารกิน และที่พักอย่างอบอุน #ได้โปรดเมตตาน้องหมาแมวด้วยครับ

ติดต่อได้ที่เพจ  https://www.facebook.com/oleasehelpdog/ 
หรือสอบถามเส้นทางได้ที่เบอร์ 061-7281166





วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2564

สุนัขค่าตับสูง เสี่ยงเป็นโรคอันตราย เจออาการแบบนี้รีบจูงไปหาสัตวแพทย์ด่วน

  สุนัขค่าตับสูง มีอาการอย่างไร เสี่ยงเป็นโรคอะไรได้บ้าง หากพบว่าสุนัขมีค่าตับสูง ควรดูแลหรือให้อาหารแบบไหน คนที่กำลังกังวลก็ตามไปดูกันได้เลยค่ะ 

Pet-1

          หากเจอว่าสุนัขค่าตับสูงคงทำให้เจ้าของรู้สึกกังวลกันมากใช่ไหมล่ะคะ อยากรู้ว่าจะเป็นโรคร้ายอะไรหรือเปล่า วันนี้เลยนำข้อมูลเกี่ยวกับค่าตับสุนัขมาฝากกัน ตั้งแต่ค่าตับ คืออะไร แล้วลักษณะอาการแบบไหน ที่จะบอกได้ว่าสุนัขของเรานั้นมีค่าตับสูง หากตรวจเจอแล้วจะเสี่ยงเป็นอันตรายร้ายแรงหรือไม่ แล้วต่อจากนี้มีวิธีการดูแลสุนัขของเราอย่างไรกันดี

ค่าตับ คืออะไร

          ค่าตับ (Liver Enzymes) คือ ค่าการทำงานของตับ มีด้วยกันหลากหลายชนิด สามารถวัดได้จากการตรวจเลือด ซึ่งถ้าหากพบว่าค่าตับสูง ก็จะบ่งบอกว่าร่างกายกำลังงอยู่ในภาวะอันตรายและอาการเสื่ยงต่อโรคหลาย ๆ อย่าง ซึ่งแตกต่างกันไปตามชนิดของค่าตับ ดังนี้

1. AST

          AST (Aspartate Transaminase) หรือเดิมเรียกว่า SGOT (Serum Glutamic Oxaloacetic Transaminase) เป็นเอนไซม์ที่สามารถพบได้ทั้งในตับ ตับอ่อน น้ำดี กล้ามเนื้อ หัวใจ และเซลล์เม็ดเลือดแดง หากตรวจพบว่าสุนัขมีค่าชนิดนี้สูงเกินกว่าปกติ สัตวแพทย์ก็จะทำการตรวจเช็กซ้ำให้แน่ใจอีกครั้งว่าเกิดจากสาเหตุอะไร หรือมีความผิดปกติที่ตรงไหน ซึ่งตามปกติแล้วเอนไซม์ตัวนี้จะมีอยู่ในเลือดค่อนข้างน้อย ดังนั้นเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและละเอียดมากยิ่งขึ้น สัตวแพทย์จึงต้องทำตรวจและดูค่าเอนไซม์ ALT คู่กันไปด้วย  

2. ALT หรือ SGPT

          ALT (Alanine Aminotransferase) หรือเดิมทีเรียกว่า SGPT (Serum Glutamic Pyruvic Transaminase) เป็นเอนไซม์ที่สามารถพบได้ทั้งในตับ ไต และระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นหากตับทำงานผิดปกติ อาจไม่ได้เป็นเพราะค่าเอนไซม์ ALT สูงขึ้นเสมอไป

3. ALP

          ALP (Alkaline Phosphatase) เป็นค่าเอนไซม์ที่สามารถพบได้ทั้งในตับ ไต ลำไส้ กระดูก และรก (กรณีที่สุนัขตั้งครรภ์) ซึ่งเอนไซม์ตัวนี้อาจมีค่าสูงขึ้นได้ในสุนัขทุกวัย แต่อย่างไรก็ตามควนสอบถามสัตวแพทย์เพื่อหาสาเหตุอีกครั้ง

4. GGT

          GGT (Gamma glutamyl transferase) เป็นค่าที่ช่วยในการวินิจฉัยเกี่ยวกับโรคตับได้มากที่สุด เพราะเป็นค่าตับที่สื่อถึงโรคตับโดยตรง แต่ส่วนใหญ่แล้วสัตวแพทย์จะไม่ค่อยตรวจค่าชนิดนี้สักเท่าไร ฉะนั้นหากใครอยากตรวจเช็กให้แน่ใจ ก็อย่าลืมแจ้งให้สัตวแพทย์ทราบด้วย 

Pet-1

อาการของสุนัขที่มีค่าตับสูง

          ค่าตับสูงจะเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ซึ่งเจ้าของสุนัขสามารถสังเกตความผิดปกติได้จากอาการต่อไปนี้

                    - คลื่นไส้อาเจียน

                    - ท้องเสีย

                    - เบื่ออาหาร

                    - น้ำหนักลด

                    - เซื่อมซึม

                    - อ่อนแรง

                    - ไม่กระฉับกระเฉง

                    - เลือดออกง่ายและมากผิดปกติ

          นอกจากนี้สุนัขบางตัวอาจมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วย ทว่าอย่างไรเจ้าของก็ต้องหมั่นสังเกตและแยกแยะความผิดปกติของสุนัขให้ได้ เพราะบางครั้งอาการอาเจียนอาจเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร หรือสุนัขอาจจะเบื่ออาหารเนื่องจากเครียดและสภาพแวดล้อมก็ได้

ค่าตับสูงเสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง

          สุนัขที่มีค่าตับสูงสามารถเสี่ยงเป็นโรคต่าง ๆ ได้มากมายขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เกิดและชนิดของค่าตับที่สูง โดยถ้าหากสุนัขมีค่า GGT สูง ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคดีซ่าน โรคมะเร็ง และโรคตับอ่อนอักเสบได้ ส่วนสุนัขมีค่า GGT และค่า ALP สูงร่วมกัน ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตับและระบบทางเดินน้ำดีได้นั่นเอง ส่วนสำหรับสุนัขที่มีค่า ALP สูง แต่ค่า GGT กลับไม่สูง จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกได้ และสุดท้ายสำหรับสุนัขมีค่า ALT สูงเพียงอย่างเดียว ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคคุชชิงได้นั่นเอง อ้อ นอกจากความเสี่ยงในการเป็นโรคดังกล่าวแล้ว สุนัขที่มีค่าตับสูงยังสามารถเสี่ยงเป็นโรคไวรัสตับอักเสบได้ด้วยเช่นเดียวกัน ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของสุนัขที่คุณรัก ถ้าหากพบอาการผิดปกติ ก็ควรรีบพาไปตรวจไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นะคะ


Pet-1

วิธีดูแลสุนัขที่มีค่าตับสูง

          นอกเหนือจากการให้ยาและการรักษาตามโรคที่วินิจฉัยแล้ว สัตวแพทย์มักจะแนะนำให้ผู้เลี้ยงควบคุมและดูแลอาหารของสุนัขให้สอดคล้องกันไปเพื่อช่วยในการฟื้นฟูและลดค่าตับลงด้วย ซึ่งอาหารที่สุนัขที่มีค่าตับสูงควรกินและไม่ควรกิน ได้แก่

          1. สุนัขที่มีค่าตับสูงควรกินอาหารที่มีค่าโซเดียมต่ำ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงโรคท้องมานหรือท้องบวมจากอาการความดันเลือดในตับสูง 

          2. สุนัขที่มีค่าตับสูงควรได้รับปริมาณโปรตีนให้เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน โดยที่สำคัญเจ้าของต้องเลือกเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง เช่น นม ถั่วเหลือง เต้าหู้ โยเกิร์ต และชีสที่ไม่มีไขมัน เพราะโปรตีนเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างให้เนื้อเยื่อตับแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ช่วยให้ตับต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดี และที่สำคัญโปรตีนที่มีคุณภาพสูงจะย่อยได้ง่ายกว่าโปรตีนที่มีคุณภาพต่ำนั่นเอง

          3. สุนัขที่มีค่าตับสูงควรกินผัก เช่น ผักโขม บรอกโคลี ถั่ว และถั่วลันเตาเยอะ ๆ เนื่องจากผักเป็นแหล่งวิตามินและโปรตีนชั้นดี อีกทั้งไฟเบอร์ในผักยังช่วยขจัดสารพิษในระบบต่าง ๆ ของสุนัขได้ด้วย

          4. สุนัขที่มีค่าตับสูงควรกินคาร์โบไฮเดรตที่มีคุณภาพสูง เช่น ข้าวสีน้ำตาล โอ๊ตมีล ถั่วแดงหลวง และมันฝรั่ง เพราะเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยง่าย

          5. สุนัขที่มีค่าตับสูงควรได้รับอาหารเสริม เช่น มิลค์ ทิสเซิล (Milk thistle) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญสองอย่าง คือ ช่วยฟื้นฟูเซลล์ตับ และช่วยให้ตับแข็งแรงด้วยการขับสารพิษ โดยปริมาณที่มักนำมาใช้ ได้แก่ 200 มิลลิกรัม/2-3 วัน ซึ่งมิลค์ ทิสเซิลอาจจะนำมาแปรรูปเป็นแคปซูลหรือของเหลวเพื่อให้กินง่ายขึ้นก็ได้   

          6. สุนัขที่มีค่าตับสูงควรลดปริมาณไขมันและโปรตีนที่มีคุณภาพต่ำให้น้อยลง เพราะโปรตีนและไขมันเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้น

           สุนัขที่มีค่าตับสูงสามารถเสี่ยงเป็นโรคร้ายได้หลายโรคเลยทีเดียว ฉะนั้นถ้าไม่อยากให้เจ้าตูบที่คุณรักต้องป่วย อย่าลืมสังเกตอาการและพาไปตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก kapook.com dogsnaturallymagazine, dogappy และ haamor

โรคสัตว์เลี้ยงควรระวังช่วงหน้าฝน รู้ทันป้องกันก่อนหมา-แมวป่วย

 ทำความรู้จัก 5 โรคสัตว์เลี้ยงที่มาพร้อมหน้าฝน มาดูกันว่า ในช่วงหน้าฝนมีโรคอะไรที่หมา-แมวต้องระวังเป็นพิเศษบ้าง รู้ก่อนจะได้หาทางป้องกันไว้ ก่อนสัตว์เลี้ยงป่วย

โรคสัตว์เลี้ยงที่มากับหน้าฝน

          แม้ฤดูฝนจะเป็นช่วงที่อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่อบอ้าวเหมือนหน้าร้อน แต่ทว่าก็เป็นอีกหนึ่งฤดูที่มาพร้อมกับโรคต่าง ๆ ไม่ใช่เกิดขึ้นกับตัวเราเท่านั้ แต่รวมถึง หมา-แมว สัตว์เลี้ยงตัวน้อยด้วย วันนี้กระปุกดอทคอมเลยนำ 5 โรคที่เป็นอันตรายกับสัตว์เลี้ยง ที่ควรระวังในช่วงหน้าฝนมาให้เจ้าของได้รู้จักว่า มีโรคอะไรบ้างที่ควรระวังในช่วงหน้าฝน จะได้หาทางป้องกันเอาไว้ก่อนตั้งแต่ตอนนี้

1. โรคฉี่หนู

          โรคฉี่หนู หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) เป็นโรคที่เกิดจากแบคทีเรียกลุ่ม เลปโตสไปรา อินเทอโรแกนส ( Leptospira Interrogans) ส่วนใหญ่มักจะติดเชื้อจากการสัมผัสกับน้ำ ดิน โคลน หรือฉี่ของสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค เมื่อเชื้อชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง ก็จะกระจายตัวไปตามอวัยวะต่าง ๆ ผ่านทางเส้นเลือด ซึ่งกลุ่มสัตว์ที่มีความเสี่ยงที่เป็นโรคฉี่หนูมากที่สุดคือ สัตว์ที่มีอายุน้อยและหมา-แมวที่เลี้ยงนอกบ้าน แต่ทั้งนี้สามารถป้องกันได้โดยการไม่ให้สัตว์เลี้ยงเข้าไปเล่นหรือกินน้ำจากบริเวณที่มีน้ำขัง พร้อมทั้งหมั่นดูแลที่นอนและของใช้ของสัตว์เลี้ยงให้สะอาดอยู่เสมอ

โรคสัตว์เลี้ยงที่มากับหน้าฝน


2. โรคพยาธิหนอนหัวใจ

          อีกหนึ่งโรคอันตรายที่อยากให้ระวังเป็นพิเศษในช่วงหน้าฝนและเป็นฤดูที่มียุงชุมชุม เพราะ "ยุง" เป็นพาหะของโรคชนิดนี้ จากการที่ยุงไปกัดสัตว์ที่มีตัวอ่อนของพยาธิแล้วมากัดสัตว์เลี้ยงของเรา เมื่อพยาธิเข้าสู่ร่างกายก็จะไปเกาะอยู่ตรงบริเวณหัวใจและเส้นเลือด โดยมีอาการที่สามารถสังเกตเห็นได้ก็คือ ไอแห้ง ๆ, เป็นลม, เหนื่อยง่าย มีน้ำสะสมในช่องท้อง ทำให้ท้องขยายใหญ่ หรือที่เรียกว่า ท้องมาน ทั้งนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดยา ให้ยากิน และใช้ยาหยอดหลัง

3. โรคระบบทางเดินหายใจ

          สำหรับกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจที่พบบ่อย ได้แก่ ไข้หวัด และหลอดลมอักเสบ ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย โดยเกิดขึ้นได้กับสัตว์เลี้ยงทุกช่วงอายุ แต่ส่วนใหญ่มักจะพบในสัตว์เลี้ยงที่มีอายุน้อยมากกว่าช่วงโตเต็มวัย เนื่องจากภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ ส่วนสาเหตุก็เกิดจากการสัมผัสกับสัตว์ที่ป่วยหรือเชื้อโรคที่แฝงอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ และสัตว์ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรค ทั้งนี้สามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงสัมผัสกับสัตว์ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงค่ะ

โรคสัตว์เลี้ยงที่มากับหน้าฝน

4. โรคพยาธิเม็ดเลือด

          โรคพยาธิในเม็ดเลือด เกิดจากเชื้อโปรโตซัวและริคเก็ตเซีย โดยมีเห็บเป็นพาหะนำโรค สัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้อจะสังเกตอาการได้ยาก และการแสดงอาการก็ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อโรคที่ได้รับเข้าไป ทั้งนี้สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคได้ โดยการกำจัดเห็บออกจากที่พักอาศัย ไม่ให้สัตว์เลี้ยงออกไปคลุกคลีกับสัตว์จรจัด และพาไปตรวจสุขภาพอย่างเสมอ เพื่อเฝ้าระวังโรคและขอคำแนะนำการดูแลที่ถูกวิธี

5. โรคผิวหนัง

          โรคผิวหนังของสัตว์เลี้ยงมีด้วยกัน 2 กลุ่มคือ โรคผิวหนังที่เกิดจากปรสิตกับไร และโรคผิวหนังที่เกิดเชื้อรา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ควรระวังเป็นเป็นพิเศษ โดยส่วนมากจะเกิดกับสัตว์เลี้ยงที่มีอายุน้อยและสัตว์เลี้ยงที่มีอายุมาก เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งบริเวณที่ติดเชื้อราจะมีขนร่วงเป็นวงและมีอาการคันร่วมด้วย โดยมากมักจะพบที่ใบหูด้านใน ง่ามนิ้ว รอบจมูก และรอบดวงตา

          ตอนนี้ก็เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพของน้องหมา-น้องแมวกันด้วย โดยเฉพาะ 5 โรคที่มากับฝนเหล่านี้ พร้อมทั้งหาทางป้องกันเอาไว้ จะได้ไม่ล้มป่วยเพราะโรคเหล่านี้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก kapook.com ประชาชาติธุรกิจHonestDocsโรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชันโรงพยาบาลสัตว์รัตนาธิเบศร์คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เฟซบุ๊ก VPN Magazine และ ศูนย์กายภาพและผิวหนังสัตว์เลี้ยง