วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

อานิสงส์ ๑๐ ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์

 อานิสงส์ ๑๐ ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์


อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ คือจะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วยปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่ตายด้วยเหตุการณ์อันน่าสยดสยองหรือภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งยังสามารถตัดกรรมในเรื่องการฆ่า และยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติศีลข้อ “ปาณาติบาต” คือ ห้ามการฆ่าเป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่งและในพระสูตรของพุทธศาสนามหายาน ยังได้กล่าวถึงพระพุทธวจนะ ว่าด้วยเรื่อง “อานิสงส์ ๑๐ ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์” ในคราวที่ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคราชไว้ด้วยดังนี้

๑. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย

บุคคลผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี ไม่เบียดเบียนผู้ใด มีกิริยาสำรวม จรรยามารยาทเรียบร้อย ไม่กล่าวคำกระโชก ด่าทอกับใคร บุคคลเช่นนี้เมื่อก้าวไปสู่ที่ใดย่อมเป็นที่รักใคร่ มีแต่คนอยากเข้ามาใกล้ชิด

ในทางตรงกันข้าม หากเป็นคนที่สะสมไว้แต่อารมณ์ร้าย ๆ แววตาเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งการฆ่า ทุกคนก็อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล

ถ้าภายในจิตใจเราไม่คิดจะไปทำลายหรือเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่น เราจึงไม่เป็นที่หวาดกลัวต่อผู้ใด แต่จะเป็นที่รักของสัตว์ต่าง ๆ แม้สัตว์ดุร้ายก็ไม่ทำอันตราย

๒. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น

คนที่มีเมตตากรุณาอยู่ในใจ อย่าว่าแต่เห็นสัตว์ทั้งหลายต้องตายไปต่อหน้าเลย เพียงแต่เห็นสัตว์ต้องประสบเคราะห์กรรมถูกเฆี่ยนตี ก็ย่อมจะไม่สบายใจ นอกจากจะไม่เข่นฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่นแล้ว แม้แต่จะเอ่ยวาจาด่าทอให้ระคายหูก็จะไม่กระทำโดยเด็ดขาด

เมื่อจิตเมตตาค่อย ๆ ถูกสะสมเพิ่มพูนจนเปี่ยมล้น ก็จะบังเกิดเป็นมหาเมตตาขึ้นในใจ และมหาเมตตานี้จะเพิ่มพลังจิตขึ้นในตัว นับเป็นเหตุปัจจัยสำคัญอันจะนำพาให้ผู้บำเพ็ญสามารถสำเร็จธรรมบรรลุขั้น “พระโพธิสัตว์”

๓. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์โหดร้ายเคียดแค้นได้

นอกเหนือจากความเห็นแก่ตัวเพื่อปากท้องตัวเองอันเป็นเหตุให้เกิดการเข่นฆ่า ทำลายชีวิตผู้อื่น และสาเหตุใหญ่ของการทำร้ายซึ่งกันและกัน คือ ความโกรธแค้น อาฆาต พยาบาทจองเวรต่อกัน ซึ่งนับวันก็จะกลายเป็นคนโหดร้ายเห็นความตายของผู้อื่นเป็นเรื่องเล็กน้อย

ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องตัดอารมณ์เหล่านี้ให้หมดสิ้น และไม่เพียงแต่จะรักชีวิตตนเองเท่านั้น แต่ยังจะต้องรักและทะนุถนอมชีวิตผู้อื่นอีกด้วย หากชาตินี้เรายังฆ่ากินเลือดเนื้อเขา ความแค้นพยาบาทจะฝังอยู่ในกมลสันดาน และจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรติดตามทวงหนี้ชีวิตทุกชาติไป แล้วเราจะปฏิบัติธรรมให้หลุดพ้นได้อย่างไร?

๔. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย

ความเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการผันแปรของดินฟ้าอากาศ หรืออาหารการกินที่ผิดธรรมชาติ ซึ่งอาจรักษาให้หายได้ด้วยยา แต่ทวายาไม่สามารถรักษาโรคกรรมได้

โรคกรรมอันเกิดมาจากการเคยสร้างอกุศลกรรมร่วมกันมาในอดีต การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ร่วมเสพเนื้อผู้อื่น ร่วมส่งเสริมผู้อื่นให้ฆ่าให้กินให้เสพ เป็นกรรมร่วมกัน จึงส่งผลให้คนเหล่านั้นต้องมาตายพร้อมกันในชาติปัจจุบัน เช่นเป็นโรคระบาดในคราวเดียวกันมาก ๆ ประสพภัยพิบัติ น้ำท่วม แผ่นดินไหวตายหมู่ เป็นต้น

หากท่านอยากเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน จงงดเว้นบริโภคเนื้อสัตว์ และหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ปลดปล่อยช่วยเหลือชีวิตสัตว์ทั้งหลายเป็นประจำ

๕. อายุมั่นขวัญยืน

ทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกนี้ ทั้งคนและสัตว์ ต่างล้วนอยากให้ตนมีอายุยืนยาว แต่ความมีอายุยืนยาวนั้น มิใช่ขอกันได้ ถ้าหากในอดีตท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบนิยมยินดีในการบริโภคเนื้อสัตว์ ตลอดจนฆ่าและส่งเสริมให้ผู้อื่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การที่จะหวังให้ตนมีชีวิตที่ราบรื่นเป็นสุข และอายุยืนยาวนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้

บุคคลผู้ที่มีจิตเมตตา ชอบช่วยเหลือชีวิตสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ใหญ่หรือสัตว์เล็ก ๆ ก็ตาม อานิสงส์ผลบุญจะช่วยต่อชีวิตทำให้มีอายุยืนยาว

๖. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด

วัชรเทพทั้ง ๘ พระองค์ คือ เทพเจ้าผู้พิทักษ์ธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อบุคคลใดมีจิตมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณงามความดี รักษาศีลกินเจ วัชรเทพทั้ง ๘ พระองค์ก็จะมีบัญชาให้เหล่าเทพบริวารทั้งหลายลงมาพิทักษ์รักษาปกป้องคุ้มครองบุคคลนั้น ๆ มิให้ภูติผีปีศาจ ยักษ์มาร อสูรร้ายมารังควาน แต่หากเมื่อใดบุคคลนั้นมีจิตใจรวนเร ไม่มั่นคงในการปฏิบัติธรรม บรรดาทวยเทพก็จะพากันผละหนีไป ซึ่งเหล่ามารร้ายจะเข้าจู่โจมทำอันตรายทันที

แม้ตาเนื้อของปุถุชนคนธรรมดา จะมองไม่เห็นบรรดาเทพพรหมที่เฝ้าคุ้มครอง แต่เมื่อถึงคราววิกฤตตกอยู่ในที่คับขัน เทพพรหมทั้งหลายเหล่านั้นก็จะพลิกผันเหตุการณ์ให้แคล้วคลาดรอดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้ในที่สุด

๗. ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล

โดยปกติคนทั่ว ๆ ไป หากมีเรื่องราวรบกวนจิตใจให้วิตกกังวลว้าวุ่น เมื่อถึงยามพักผ่อนแม้ว่าร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักปานใด ก็ไม่สามารถจะหลับลงได้หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ และท้ายที่สุดเคลิ้มหลับไป ก็จะฝันร้ายตลอดคืน

มีตัวอย่างมากมายของผู้ที่ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เอาแต่สร้างกรรมชั่ว ประพฤติมิชอบ อาหารแต่ละมื้อจะต้องเพียบพร้อมไปด้วยเนื้อสัตว์ เมื่อยามหลับก็จะฝันเห็นแต่สิ่งที่เลวร้าย น่าเกลียดน่ากลัว แต่เมื่อได้ศึกษาและตั้งใจปฏิบัติธรรม งดบริโภคเลือดเนื้อผู้อื่น ก็มักจะมีโอกาสนิมิตรฝันเห็นแต่สิ่งที่ดีงาม เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นนิมิตรที่ดีเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง จะหลับและตื่นก็เป็นสุข

๘. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกันได้

คัมภีร์แห่งสัจธรรมได้กล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายกับคนนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน มิได้แตกต่างกัน แต่เป็นเพราะความหลงผิดไม่รู้เท่าทัน จึงยึดรูปลักษณ์ภายนอกมาทำให้เป็นความแตกต่างว่านั่นเป็นสัตว์ นี่เป็นคน ฯลฯ

ผู้ปฏิบัติธรรมมีญาณปัญญา เห็นแจ้งในธรรมต้องปราศจากจิตที่เคืองแค้นอาฆาตผู้อื่น และมีจิตเมตตากรุณา คิดสงสารผู้อื่นที่หลงประพฤติผิด ทั้งพยายามหาวิธีฉุดช่วยให้เขากลับสู่เส้นทางแห่งความถูกต้องดีงาม

๙. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ

ตามกฎแห่งกรรม ผู้ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือชอบเสพเลือดเนื้อสัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไปวิญญาณจะต้องร่วงลงสู่อบายภูมิทั้ง ๓ ได้แก่

1. นรกภูมิ 10 ขุม ต้องรับทุกข์ทรมานแสนสาหัส
2. เปรตภูมิ จะได้รับทุกข์ทรมานอยู่กับความหิวโหย
3. เดรัจฉานภูมิ เมื่อวิญญาณใช้หนี้บาปกรรมพ้นจากนรกภูมิและเปรตภูมิแล้วจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถูกเขาฆ่าตายชาติแล้วชาติเล่า จนกว่าจะครบกำหนดตามจำนวนที่ตนได้เคยทำลายชีวิตผู้อื่น

๑๐. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตวิญญาณจะมุ่งสู่สุคติภพ

ในมหายานสูตร มีเรื่องเล่าถึงวิบากกรรมของผู้ที่หลงผิดชอบเข่นฆ่าสัตว์และนำไปสังเวยฟ้าดินถวายต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นบาปอย่างมหันต์ อกุศลกรรมนั้นทำให้ต้องได้รับโทษโดยถูกสุนัขปีศาจรุมกัดกินเนื้อ ทุกข์ทรมานแสนสาหัส นับครั้งไม่ถ้วน

สาธุชนผู้ที่งดเว้นเนื้อสัตว์ ปลดปล่อยชีวิตสัตว์ให้รอดตายด้วยการถือศีลกินเจ ย่อมจะห่างไกลจากทุคติภพไม่ต้องไปรับโทษทัณฑ์อันน่าสะพรึงกลัว เมื่อจิตวิญญาณจะละสังขาร ก็อาศัยเหตุปัจจัยแห่งกุศลกรรมความดี ดลบันดาลให้เหล่าทวยเทพเทวารอรับขึ้นเบื้องบน

ฉะนั้นการศึกษาและปฏิบัติธรรมให้ได้สำเร็จลุล่วงผู้บำเพ็ญธรรม จักต้องละเว้นจากการเสพเลือดเนื้อชีวิตสัตว์โดยสิ้นเชิง พร้อมกับอนุเคราะห์ช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก เพื่อให้หนทางการบำเพ็ญสู่ความหลุดพ้น ไม่ถูกขัดขวางจากเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย

ขอบคุณที่มา http://www.watdon.net/i

ไขข้อข้องใจเรื่องของ การทำร้ายสัตว์ พร้อมผลกรรมจากการผิดศีลข้อ 1


การทำร้ายสัตว์

ไขข้อข้องใจเรื่องของ การทำร้ายสัตว์ พร้อมผลกรรมจากการผิดศีลข้อ 1

การทำร้ายสัตว์ ถือเป็นการกระทำที่ผิดศีล 5 ในข้อที่ 1 ที่ว่าด้วยเรื่องของการห้ามทำร้ายสัตว์ และถ้าหากทำผิดศีลข้อนี้ ผลกรรมที่ตามมาจะเป็นอย่างไรไปดูกันค่ะ

ศีล  เป็นข้องดเว้นไม่ให้ประพฤติ เพื่อให้คนมีพฤติกรรมดีงามและอยู่ในสังคมอย่างสงบสุข   ศีลมีหลายประเภท เช่น  ศีลสำหรับภิกษุมี 227 ข้อ  สำหรับภิกษุณีมี 311 ข้อ สำหรับสามเณรมี 10 ข้อ ส่วนฆราวาสอย่างเรามี 5 หรือ 8 ข้อ สุดแท้แต่จะเลือกปฏิบัติ  ศีลห้าจึงหมายถึง ข้องดเว้นห้าข้อนั่นเอง ได้แก่

ข้อหนึ่ง เว้นจากการฆ่า คือ การพรากจิตวิญญาณ ออกจากร่าง รวมถึงเว้นการเบียดเบียน ไม่ว่าจะเป็นการกักขังทุบตี ทำร้าย

ข้อสอง เว้นจากการลักขโมย หรือการครอบครองสิ่งที่เจ้าของยังมิได้อนุญาตยกให้

ข้อสาม เว้นจากการประพฤติผิดในกาม หรือคือเว้น การล่วงประเวณีในลูก สามี หรือภรรยาของผู้อื่น

ข้อสี่ เว้นจากการพูดไม่ตรงกับความจริง

ข้อห้า เว้นจากการเสพเครื่องดองของเมา เช่น สุราและเมรัยอันจะเป็นเหตุทำให้ผู้เสพขาดสติสัมปชัญญะ

การทำร้ายสัตว์ พร้อมผลกรรมจากการผิดศีลข้อ1

ถาม :  ถ้าเราไม่ได้ฆ่าเอง แต่สั่งให้เขาฆ่า นี่ถือว่าผิดศีล ข้อหนึ่งไหมคะ

ตอบ :  ผิดสิ่ ถ้ารู้ว่าสิ่งนั้นมีชีวิตแล้วสั่งให้ฆ่า เช่น ไข้หวัดนกระบาด เมื่อพบไก่ตาย เจ้าหน้าที่สั่งให้ฆ่าสัตว์ปีกทิ้งทั้งหมู่บ้านแบบนี้ คนสั่งให้ฆ่าเป็นจำเลยบาปที่หนึ่ง คนลงมือฆ่าเป็นจำเลยบาป ที่สอง ส่วนคนที่เห็นดีด้วยเป็นจำเลยบาปที่สาม  รู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเราก็ผิด เช่น ไปกินอาหารทะเล แล้วสั่งให้เขาจับกุ้งที่ว่ายอยู่ในตู้กระจกมาเผาให้เรากิน อย่างเช่น ร้านอาหารที่ฮ่องกงเลี้ยงปลาไว้ในอะควาเรียมแล้วให้คนกิน  ไปชี้ว่าจะเอาตัวนั้นตัวนี้ แบบนี้ผิดแน่ๆ

ถาม : อย่างนี้ก็ห้ามกินกุ้งเต้นเลยสิคะ

ตอบ :  บาปแน่นอน เพราะกุ้งยังกระโดดอยู่เลยถ้าเราตั้งใจฆ่าแต่เขาไม่ตายล่ะคะผิดไหม แค่ตั้งใจฆ่าก็ผิดแล้วแม้สัตว์จะไม่ตายแต่การทำให้สัตว์ เดือดร้อนผูกพยาบาทจองเวรเราเมื่อไร ถือว่าเป็นบาป

ถาม : อาจารย์คะ ถ้าศีลข้อหนึ่งหมายรวมถึงการกักขังด้วย อย่างนี้ก็เลี้ยงปลาไม่ได้น่ะสิคะ

ตอบ :  ขึ้นอยู่กับว่าเลี้ยงอย่างไร ถ้าให้สัตว์อยู่ในสภาพที่สบายใจ มีอาหารให้กินสัตว์ไม่จองเวรเราไม่ถือว่าเป็นบาปหมาแมวก็เหมือนกันถ้าเราเลี้ยงเขาอุดมสมบูรณ์ให้อิสรภาพแก่เขานั่นไม่ถือว่าเป็นบาป แต่ถ้าเลี้ยงขังกรง ล่ามโซ่ ขาดอิสรภาพนั่นถือว่าเป็นบาปนะ

ถาม :  แล้วถ้าเราเอาลูกเขามาขายล่ะคะ ผิดไหม

ตอบ : ผิดสิ่ เพราะเป็นการพรากลูกไปจากแม่ เป็นการเบียดเบียนเขา การค้าขายสัตว์มีชีวิตถือว่าเป็นมิจฉาอาชีวะ คือ อาชีพที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไม่ให้พุทธบริษัททำ

ถาม :  ถ้าทำผิดศีลข้อหนึ่ง เราจะต้องได้รับผลของกรรมอย่างไรคะ

ตอบ : ฆ่าสัตว์ทำให้มีอายุสั้น เบียดเบียนสัตว์ เมื่อกรรมให้ผลจะเจ็บไข้ได้ป่วย  โรคทั้งหลายที่เป็นโดยหาสาเหตุไม่ได้ และรักษาไม่หาย เช่น มะเร็ง มักเป็นผลของการผิดศีลข้อหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงคนหนึ่งตอนเด็กๆ เคยไปจับแมลงปอเข็มมาเด็ดก้นออกเอาหญ้าเสียบเข้าไป แล้วให้บินโดยมีหญ้าเสียบก้นในที่สุด  เมื่อกรรมให้ผลจึงเป็นริดสีดวงทวาร รักษาอย่างไรก็ไม่หาย

ถาม : ถึงแม้จะทำไปตั้งแต่ยังเป็นเด็กและไม่ได้เจตนาก็ผิดหรือคะ

ตอบ : ไม่เจตนา หมายถึง ไม่ได้ตั้งใจทำ แต่จงใจทำให้เขาเดือดร้อนเจ็บปวด หรือตาย ทั้งที่รู้ว่าเขามีชีวิต อย่างนี้เรียกว่ากระทำโดยมีเจตนา ถือเป็นความผิด

การฆ่าสัตว์ในแต่ละครั้ง ถ้าหากผู้ฆ่ารู้ว่า สัตว์นั้นยังมีชีวิต แม้ตัวเองก็คิดฆ่า มีความเพียรพยายามที่จะฆ่า และสัตว์นั้นต้องมาตายด้วยการกระทำของเรา ถ้าหากเราพิจารณาโดยละเอียดมองกระบวนการก่อนฆ่า ขณะฆ่าและหลังฆ่าแล้ว ยิ่งทำให้รู้ว่า ก่อนที่สัตว์จะถูกฆ่า จะต้องมีความสะดุ้งกลัวตกใจ ร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจที่ต้องมาตายก่อนอายุขัย ในขณะฆ่าจะต้องได้รับความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานจากพิษบาดแผลหรือคมศัตราอาวุธ

การฆ่าที่ประกอบด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างเช่นนี้  ผู้ฆ่าจะมีบาปมาก ยิ่งถ้าไปฆ่าสัตว์ที่เป็นแม่ลูกอ่อนหรือกำลังมีลูกเล็กๆต้องเลี้ยงดูอยู่อีกหลายตัว ยิ่งจะบาปมากเพราะไม่ใช่ฆ่าตัวแม่เท่านั้น แต่ยังฆ่าลูกอ่อนๆที่อยู่ในท้องอีกและพวกลูกน้อยที่ขาดแม่ ไม่ได้กินนมหรือได้รับการปกป้องคุ้มครองจากแม่ก็ต้องมาตายตามไปด้วย

ฉะนั้น การฆ่า คือ กรรม เมื่อสร้างเหตุปัจจัยไว้อย่างไร ผลของการฆ่า หรือ กฎแห่งการสะท้อนกลับ จะต้องเป็นไปเช่นเดียวกันกับเหตุที่ทำเอาไว้ คือ เมื่อถึงเวลาที่บาปกรรมนั้นส่งผล ตัวผู้ฆ่า จะต้องได้รับผลร้าย ประสพกับความลำบากเดือดร้อน เจอความวิบัติอุปัทวันตรายต่างๆ โรคภัยเบียดเบียน สูญเสียหรือพลัดพรากจากคนผู้เป็นที่รักทั้งหลายหรือ ทำให้อายุสั้นตายก่อนวัยสมควรเหมือนกัน


เรื่องจาก : นิตยสาร Secret คอลัมน์ Dhamma Talk, ชุมชนรักษ์ธรรม

ภาพ: Photo by Antonino Visalli on Unsplash

ขอบคุณ https://goodlifeupdate.com/

กฎแห่งกรรม : เจ็บป่วยบ่อย เพราะชอบฆ่าสัตว์




 การฆ่าสัตว์เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมามีอายุสั้น การเบียดเบียนสัตว์เป็นสาเหตุทำให้เกิดมามีโรคภัยไข้เจ็บมาก สิ่งเหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่หากผู้ใด ล่วงเกินลงไป ย่อมได้รับผลเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องรอ ให้ศาลมาตัดสิน กฎเกณฑ์ของธรรมชาติย่อมให้ผลเอง และเท่าเทียมกันกับทุกคน ไม่มีคำว่าสองมาตรฐานอย่างแน่นอน ผู้ใดทำกรรมใดไว้ ผู้นั้นย่อมได้รับผลกรรมนั้น



ต่อไปนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของหนุ่มผู้หลงผิด ชอบฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ เพราะความมัวเมาสนุกสนานของตน จนเป็นเหตุให้ต้องประสบกับชะตากรรมอันน่าสะพรึงกลัว และยากที่จะลืมเลือนไปตลอดชีวิต


นฤพน เป็นลูกชาวนา อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ บ้านของเขามีป่าอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก เขาชอบเข้าป่าล่าสัตว์ อาวุธสำคัญที่นฤพนชอบเป็นชีวิตจิตใจ ก็คือปืน และเขาเป็นคนที่ยิงปืนแม่นมาก ถึงขั้นที่ว่าสามารถยิงถูกหัวนกที่จับอยู่ปลายไม้ได้อย่างไม่พลาดในแต่ละวัน ชายหนุ่มจึงเข้าป่าล่าสัตว์ แต่บางครั้งก็ไม่ได้ล่ามาทำอาหาร แต่เพื่อฝึกซ้อมฝีมือยิงปืนเท่านั้นเอง


ความสุขของนฤพนจึงกลายเป็นความทุกข์ของสัตว์จำนวนมากในป่า ทุกครั้งที่เขาเข้าป่า บรรดาสัตว์เล็กสัตว์น้อยเหมือนจะรู้ว่าเพชฌฆาตกำลังเดินเข้ามาหา มันจะพากันวิ่งหนีทันที แม้แต่นกทั้งหลายก็บินหนีไปหมด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะนั่นเป็นปกติธรรมดาของสัตว์ ทั้งหลายอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่าภัยมาถึงตัวก็ต้องรีบหาทางเอาตัวรอดไว้ก่อน


ถึงแม้ว่าสัตว์น้อยใหญ่จะพยายามหลบหลีกอย่างไร แต่ก็ไม่พ้นเงื้อมมือของนฤพนไปได้ เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ ในการล่าสัตว์มาก ทุกครั้งที่แบกปืนเข้าป่า จะต้องได้สัตว์กลับออกมา ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่ชาวบ้านเห็นเขาแบกสัตว์ป่ากลับมา ทุกคนก็จะยกย่องชมเชย ว่าเขาเป็นคนเก่ง ที่สามารถล่าสัตว์ได้เยอะกว่าคนอื่น นฤพนจึงหลงยินดีไปกับคำยกยอสรรเสริญนั้น ทำให้เขายิ่งมีความขยันและฝึกฝนกลยุทธ์ต่างๆ ในการล่าสัตว์ให้ได้มากขึ้นทุกวัน


สัตว์ที่เขาล่ามาได้นั้น บางครั้งก็เอามาแจกจ่ายให้กับชาวบ้านได้ปรุงเป็นอาหารบ้าง บางครั้งก็ชวนเพื่อนๆ วัยรุ่น มาร่วมวงกินเหล้าและกับแกล้มกันอย่างสนุกสนาน นฤพนหลงผิดอยู่กับการกระทำความชั่วอย่างนั้นอยู่นานหลายปีทีเดียว โดยที่เขาไม่เคยรู้เลยว่า สิ่งที่ตนได้กระทำลงไปนั้นมันจะย้อนกลับมาหาตัวเองอย่างไร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามีแต่ได้รับคำชมว่า เป็นคนเก่ง คนมีฝีมือ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจึงเป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขา


ด้วยความที่อวิชชาได้ปิดบังดวงตาของชายหนุ่มอย่าง แนบสนิทนี้ ทำให้เขาได้ทำกรรมจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้มากมาย หากนับรวมๆแล้ว สัตว์ที่ถูกเขาฆ่าคงไม่น้อยกว่าพันๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นกระรอก กระต่าย นก งู และอีก สารพัด เรียกว่าหากไปพบสัตว์ชนิดใดเข้า เขาก็จะยิงทันที โดยไม่เคยคิดสงสารและไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งนั้นเป็นกรรม ที่จะย้อนกลับมาหาตัวเอง


ต่อมานฤพนถูกสลัดรักจากหญิงสาวคนหนึ่งในหมู่บ้าน ความอกหักทำให้เขาอยากหนีจากชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ จึงขอแม่มาหางานทำที่กรุงเทพ นั่นนับว่าเป็นครั้งแรกที่นฤพนได้วางมือจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต


หลังจากนฤพนมาอยู่กรุงเทพฯได้สองปี ผลแห่งกรรมที่เขากระทำไว้ ก็เริ่มจะแสดงฤทธิ์ออกมาทีละเล็กละน้อย เขาเริ่มเจ็บป่วยเป็นโน่นเป็นนี่อยู่ตลอดเวลา ไม่เคยหายสักที เดี๋ยวก็ป่วยเป็นโรคนั้น ป่วยเป็นโรคนี้ ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นประจำ


ทุกครั้งที่นฤพนนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล เขาจะนึกถึงกรรมชั่วที่ตนเคยกระทำไว้ตลอด นึกถึงภาพแห่งความ เจ็บปวดทุกข์ทรมานของสัตว์ทั้งหลายเวลาถูกเขายิง ภาพเหล่านี้ทำให้ชายหนุ่มน้ำตาไหล และรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สัตว์เหล่านั้นจะมาทวงคืนสิ่งที่เขาทำกับพวกมัน ทุกวินาทีของนฤพนจึงเต็มไปด้วยความหวาดผวา กลัวว่ากรรมเหล่านั้นจะตามมาให้ผลกับเขาในชาตินี้


แต่สิ่งที่เขากลัวก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะเป็น การกระทำที่เขาก่อขึ้นเอง ย่อมให้ผลเองตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ


วันหนึ่ง..ในระหว่างที่เขาเดินออกไปจากโรงพยาบาลนั้น เขารู้สึกหน้ามืดเหมือนกับว่าจะเป็นลม แต่เขาก็พยายามประคองตัวเดินต่อไป แต่เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็ล้มลงจนร่างไปเสียบเข้ากับเหล็กชิ้นหนึ่ง แถวบริเวณที่ก่อสร้างริมถนน แต่นับว่ายังโชคดีที่ยังไม่โดนหัวใจ!!


เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวัน ชายหนุ่มนอนมองบาดแผลที่เกิดขึ้น ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่า การที่เขาล้มลงถูกเหล็กเสียบนั้น ก็คงเป็นเพราะกรรมที่เขาเคยยิงสัตว์ไว้มากนั่นเอง ตัวแล้วตัวเล่าที่เขายิงที่ลำตัวของมัน กรรมนั้นคงตามให้ผลแล้ว


ทุกครั้งที่นฤพนหลับตาลง ภาพกรรมเก่าที่เคยทำไว้ ก็มาปรากฎหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา จิตใจของเขาไม่มีช่วงเวลาแห่งความสุขเลย กรรมชั่วนั้นช่างมีผลมากมายเสียจริงๆ ชาตินี้เขาได้เผชิญกับกรรมชั่วของตนเองทั้งทางกายและทางใจ จึงประจักษ์ชัดแล้วว่า กรรมชั่วนั้น หากใครหลงผิดไปทำแล้ว ย่อมได้รับผลเป็นความทุกข์อย่างแน่นอน

นฤพนได้ประสบกับความทุกข์ด้วยตนเองอย่างนั้นแล้ว จึงตั้งใจที่จะทำความดีและอุทิศบุญกุศลไปให้กับเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้น หลังจากเขาออกจากโรงพยาบาล ก็ได้ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๗ วัน และทำบุญตักบาตรอย่างสม่ำเสมอ เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรม นายเวรที่เขาได้กระทำไว้ เพราะเขาชื่อว่า ผลบุญนี้ จะทำให้ผลแห่งกรรมชั่วของเขาเบาบางลงไปได้


ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน นฤพนยังคงมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้เขาสบายใจขึ้น ที่ได้ทำความดีอยู่ทุกวัน เพื่อชดเชยกับความชั่วที่เขาสั่งสมมานานหลายปี หากเขาไม่พบแสงแห่งธรรมเลย ชีวิตของเขาคงจะพบกับความทุกข์ทรมานมากกว่านี้อีกหลายเท่า


ทุกวันนี้ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ตกอยู่ในความมืดของอวิชชา ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าได้จุดแสงสว่างแห่งธรรมขึ้นมาบนโลกนี้หลายพันปีแล้ว คนที่ได้รับแสงสว่างแห่งธรรม ย่อมดำเนินชีวิตไปอย่างราบรื่น บนเส้นทางแห่งความสุข ส่วนคนที่อยู่ในความมืด ย่อมดำเนินชีวิตไปบนคราบน้ำตา

------------------------------------------------------------------------------
(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 119 ตุลาคม 2553 โดย มาลาวชิโร)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

กฎแห่งกรรม : ฆ่าไก่ ก็ตายอย่างไก่

 

เผยแพร่:    โดย: MGR Online

กฎแห่งกรรม เป็นกฎที่ตรงไปตรงมา กรรมทุกอย่างที่เรากระทำล้วนส่งผลต่อตัวเราโดยตรง ไม่ว่าจะทำไว้นานขนาดไหนก็ตาม คนที่ทำกรรมชั่วแล้ว ยังไม่ได้รับผลของกรรมชั่ว ก็อาจเป็นเพราะว่ากรรมดีที่เคยกระทำไว้นั้น มันยังให้ผลอยู่ กรรมชั่วเลยยังไม่มีโอกาสแสดงผลสักที หากวันหนึ่งวันใดเหตุปัจจัยพร้อม กรรมชั่วนั้นย่อมแสดงผลอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ ดังเช่นเรื่องราวของ “ลุงยาว” ชาวอำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

อาชีพของลุงยาวก็คือการทำเกษตรกรรมตามประสาคนพื้นเมืองทั่วๆ ไป และเป็นธรรมดาที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ เมื่อจะทำอาหารก็ต้องมีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปลา ไก่ เป็นต้น แต่ก็จะเห็นว่าบางกรณีนั้น คนที่ทำกรรมชั่วก็ประสบกับผลของกรรมในชาตินี้ บางกรณีก็ยังไม่ประสบ เหตุนี้เองหลายคนจึงไม่ค่อยกลัวเรื่องกฎแห่งกรรม เพราะคิดว่า ผลของกรรมชั่วคงไม่มีจริง

ลุงยาวก็เหมือนกับคนทั่วไปที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมร้อยเปอร์เซ็นต์เท่าใดนัก เรียกว่าเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง เพราะกรรมชั่วที่ตนเคยกระทำไว้ มันก็ยังไม่เห็นว่าจะให้ผลหนักหนาอะไร เช่น เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้ ก็ไม่เห็นว่าปูปลาที่ไหนจะลุกขึ้นมาฆ่าแกได้เลยสักตัวเดียว เหตุนี้เองแกจึงไม่กลัวบาปกรรมสักเท่าไหร่

แต่สัตว์ที่ลุงยาวฆ่าบ่อยที่สุดก็คือไก่ และในการเชือดไก่ทำเป็นอาหารนั้น ก่อนอื่นเมื่อจับไก่มาได้ แกก็จะจับไก่ มาถอนขนที่คอออกก่อน เพื่อจะได้เชือดคอและให้เลือดไหลได้สะดวก เมื่อถอนขนเสร็จเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือภาชนะสำหรับรองเลือดไก่ พร้อมกับมีดคมๆ สักเล่มหนึ่งที่จะเชือดคอไก่

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ลุงยาวก็จะลงมือเชือดคอไก่ โดยการจับไก่ไว้แน่นๆ ไม่ให้ดิ้น หลังจากนั้นก็ใช้มีดอันแหลมคมที่เตรียมไว้ เชือดตรงคอเพื่อตัดเส้นเลือด หลังจากนั้นก็จะจับคอไก่เอียงลง ให้เลือดไหลรินลงในภาชนะ ที่เตรียมไว้ หากเลือดไหลไม่หมด ก็เชือดซ้ำ เพื่อให้แผล ลึกลงไปอีก และเทเลือด จนกระทั่งมั่นใจว่าเลือดใกล้หมด แล้วก็จะปล่อยไก่ให้ดิ้นทุรนทุรายจนกว่ามันจะตาย!!

ไก่ทุกตัวที่ถูกเชือดคอนั้น มันจะดิ้นจนสุดแรง
 แต่ก็สู้แรงคนไม่ได้ ลองคิดดูแล้วกันว่า หากถูกจับไว้แล้วเชือดคอ มันจะเจ็บและทุกข์ทรมานมากขนาดไหน ยิ่งโดยเฉพาะหลังจากที่เลือดออกจากตัวมันมากๆ แล้วปล่อยให้มันดิ้นทุรนทุราย มันก็ยิ่งดิ้นใหญ่ คอถูไถไปกับ พื้นดิน เหมือนกับมันอยากจะขาดใจตายทันที แต่ก็ยังไม่ตาย ต้องทุกข์ทรมานก่อนตายอย่างแสนสาหัส !!

หลังจากไก่ดิ้นทุรนทุรายจนกระทั่งสิ้นใจตายแล้ว ลุงยาวก็จะต้มน้ำร้อนๆ แล้วนำไก่ไปลวกน้ำร้อน เพื่อที่จะถอนขนได้ง่ายขึ้น ก่อนนำไปทำอาหารต่อไป อาหารที่แสนอร่อยของลุงยาวและครอบครัวนั้น ต้องแลกกับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสของไก่ตัวแล้วตัวเล่าอยู่อย่างนี้

ลุงยาวฆ่าไก่ทำเป็นอาหารอยู่อย่างนี้เป็นประจำ ไม่รู้ว่ากี่ตัวต่อกี่ตัว แต่ก็ไม่เห็นว่ากฎแห่งกรรมจะทำงานอะไรเลย ลุงยาวก็ยังดำเนินชีวิตตามปกติ เป็นคนมีสุขภาพ ร่างกายแข็งแรงดี กินได้นอนหลับสบาย ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนอะไรทั้งสิ้น

คนเราเมื่อไม่เห็นความทุกข์ ย่อมไม่สำนึกกับบาป กรรมที่ตนกระทำไว้ จนกระทั่งถึงวันที่ผลกรรมตามทันนั่นแหละจึงจะสำนึกได้ แต่เมื่อวันนั้นมาถึง อาจจะสายเกินไปที่จะสำนึกผิดก็เป็นได้ กรณีของลุงยาวก็เช่นเดียวกัน ตลอดเวลาที่ทำกรรมนั้นแกก็ไม่เคยสำนึกผิด หรือไม่เคยคิดที่จะเลิกทำกรรมชั่วแต่ประการใดเลย ยังคงทำกรรมนั้นซ้ำเดิมอยู่บ่อยๆ

เวลาผ่านไปหลายปี จนกระทั่งลุงยาวอายุได้หกสิบกว่า แกเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบาย จนต้องไปหาหมออยู่เรื่อยๆ และแล้ววันหนึ่งก็ต้องไปนอนที่โรงพยาบาล เพราะว่าอาการโรคภัยไข้เจ็บที่รุมล้อมแกนั้นมีมากมายหลายโรค

สำหรับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะทุกคนที่อายุมากก็มักจะมีโรคภัยมาเบียดเบียนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว สำหรับลุงยาวก็เป็นธรรมดาที่จะต้อง เป็นเหมือนกับคนทั่วๆ ไปนั่นเอง

แต่สิ่งที่แปลก...ไม่ใช่การที่ลุงยาวมีโรคภัยไข้เจ็บมาก แต่มันคือการที่ลุงยาวนอนร้องครวญครางเหมือนไก่ที่ถูกแกเชือดคอ!! แกทุกข์ทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บที่รุม ล้อมอย่างหนัก เวลากินข้าวกินน้ำก็กินไม่ค่อยได้ กลืนลำบาก รู้สึกทุกข์ทรมานมาก แกดิ้นทุรนทุรายเหมือนไก่ที่ถูกเชือดคอ ลูกหลานเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารจับใจ ไม่รู้จะช่วยอย่างไร หมอเองก็บอกไม่ได้ว่าทำไมลุงยาวถึงได้เป็นเช่นนี้

ลุงยาวนอนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นหลายอาทิตย์ทีเดียว หมอพยายามหาทางช่วยเหลือแต่ก็ไม่สามารถจะช่วยได้ ทุกวันทุกคืนแกยังคงนอนร้องเป็นเสียงไก่ กินข้าวก็ทำได้แค่จิกกินทีละเม็ดสองเม็ดเช่นเดียวกับไก่ ทุกคนเห็นสภาพของแกแล้วก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง !!

ผลกรรมที่ลุงยาวได้กระทำไว้นั้น มันย้อนกลับมาหาแกอย่างหนัก ตอนที่แกป่วยใกล้จะตาย ถึงแม้ว่าแกจะสำนึกถึงผลของกรรมชั่วที่เคยกระทำไว้ และอยากจะทำ ความดีตอบแทน แต่ก็เหมือนว่าฟ้าได้ปิดกั้น แกไม่มีโอกาสกลับมาแก้ไขสิ่งที่ได้กระทำไว้ เพราะเวลาของชีวิตใกล้หมดลงแล้ว และหลังจากต้องทนทุกข์ทรมานอยู่นาน ลุงยาวก็ขาดใจตายเหมือนกับไก่ที่โดนเชือดคอนั่นเอง

ชีวิตของลุงยาวคงเป็นบทเรียนให้กับหลายคนที่กำลังหลงผิดไปทำความชั่ว คิดว่าผลแห่งกรรมชั่วไม่มี หรือทำกรรมชั่วแล้วไม่ให้ผลสักที จริงๆแล้วกฎแห่งกรรมนั้นทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน เพียงแต่มันมีลำดับของการให้ผล หากเหตุปัจจัยยังไม่พร้อมก็จะยังไม่ให้ผล แต่เมื่อใดก็ตามที่เหตุปัจจัยพร้อมมันก็จะให้ผลทันที ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม

สำหรับคนทำความดีจึงไม่ต้องท้อแท้ กฎแห่งกรรมจะทำงานของมันเอง วันหนึ่งกรรมดีก็ย่อมให้ผลดีออกมาอย่างแน่นอน


(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 125 เมษายน 2554 โดย มาลาวชิโร)

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

คณะสงฆ์วัดเวฬุวนาราม วอนช่วยเหลือสุนัขจรจัด

 วัดเวฬุวนาราม – ริมถนนสายลำปาง-เด่นชัย ต.แม่ทะ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ดูแลเลี้ยงหมาจรจัดมากว่า 30 ปี จำนวนกว่า 300 ตัว ปัจจุบันเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 500 ตัว เนื่องจากมักจะมีคนนำสุนัข-แมวมาปล่อยทิ้งไว้ที่วัดเฉลี่ยวันละ 2-3 ตัว จนขณะนี้มีสุนัขที่ชาวบ้านนำมาปล่อยที่วัดต้องรับภาระเลี้ยงดู รวมเกือบ 600 ตัว

คณะสงฆ์วัดเวฬุวนาราม วอนช่วยเหลือสุนัขจรจัด

พระครูเวฬุวันสุตวัฒน์ (วิชัย อัคคเตโช) เจ้าอาวาสวัดเวฬุวนาราม กล่าวว่า “อยากจะขอบอกให้คนที่เลี้ยงสุนัขแล้วนำมาปล่อยที่วัด ขอให้นำมามอบกับมือพระโดยตรง ไม่ต้องอาย เพราะส่วนมากจะนำมาปล่อยทิ้งไว้ที่หน้าวัด ทางวัดไม่รู้ว่าสุนัขป่วยเป็นโรคหรือบอบช้ำมา ถ้ารักษาไม่ทันก็ตายไปหลายตัว”

“วัดยังได้รับดูแลสุนัขที่ จ.ลำปาง จับจากวนอุทยานเขลางค์บรรพต ทางขึ้นวัดม่อนพญาแช่ ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง มาให้วัดดูแลอีกวันละหลายตัว โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จับมาแล้วมีการทำหมัน ฉีดวัคซีน แต่สุนัขที่จับมาก็ตายไปหลายตัวเนื่องจากบอบช้ำจากการไล่จับและการทำหมัน

คณะสงฆ์วัดเวฬุวนาราม วอนช่วยเหลือสุนัขจรจัด คณะสงฆ์วัดเวฬุวนาราม วอนช่วยเหลือสุนัขจรจัด

ต้องให้สุนัขพักฟื้นร่างกาย ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลอย่างต่อเนื่อง ทำให้วัดต้องมีภาระดูแลสุนัขที่ป่วยอีก แต่ถ้าไม่ดูแลสุนัขเหล่านี้ก็ไม่มีที่อยู่อาศัย เพราะตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา จ.ลำปาง มีแนวทางจะสร้างเป็นศูนย์พักพิงสุนัขที่วัด แต่ติดปัญหาเรื่องที่ดิน ซึ่งเป็นที่ส.ป.ก.4-01 ไม่สามารถทำได้ จากนั้นเรื่องก็เงียบหายมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด”

พระครูเวฬุวันสุตวัฒน์บอกเล่าว่า “ปัจจุบันวัดมีสุนัขที่ต้องดูแลกว่า 600 ตัว ต้องดูแลรักษาความสะอาด พ่นยากันเห็บ กันหมัด ซึ่งมีเยอะมากในหน้าฝน เนื่องจากเลี้ยงสุนัขตัวที่ป่วยไม่สบายจะขังไว้ในกรง ตัวที่แข็งแรงต้องปล่อยให้มีอิสระวิ่งเล่น


คณะสงฆ์วัดเวฬุวนาราม วอนช่วยเหลือสุนัขจรจัดคณะสงฆ์วัดเวฬุวนาราม วอนช่วยเหลือสุนัขจรจัด

เมื่อวิ่งเข้าไปเล่นในป่าทำให้มีเห็บและหมัดติดตัวมาจำนวนมาก ต้องฉีดพ่นยาเป็นประจำ ซึ่งต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ในขณะที่อาหารเม็ดสำหรับสุนัขเป็น กระสอบที่ได้รับบริจาค ตอนนี้เหลือใช้เลี้ยงสุนัขได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ปกติต้องมีอาหารสำรองไว้ไม่ต่ำกว่า 6 เดือนถึงจะเพียงพอ ต้องใช้ เลี้ยงสุนัขวันละกว่า 10 กระสอบ คิดเป็นเงินกว่า 50,000 บาทต่อวัน”

“แต่เนื่องจากอาหารเม็ดที่ผู้รักสุนัขบริจาคมาให้มีหลายเกรด หลายราคา ตั้งแต่กระสอบละ 500-800 บาท ถ้าเกรดดีก็สามารถนำให้สุนัขกินได้เลย บางครั้งวัดก็ต้องใช้วิธีดัดแปลงเป็นอาหาร โดยซื้อซี่โครงไก่มาต้มคลุกกับอาหารเม็ดให้สุนัขกิน

คณะสงฆ์วัดเวฬุวนาราม วอนช่วยเหลือสุนัขจรจัด

ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเฉลี่ยเดือนละ 20,000 บาท ต้องสั่งซี่โครงไก่มาใส่ตู้แช่เย็นไว้ เพราะต้องซื้อทีละมากๆ รวมทั้งค่ายา ค่ารักษาสุนัขที่เจ็บป่วยอีกเดือนละหลายหมื่นบาท ค่าไฟฟ้าเดือนละ 8,000-12,000 บาท อาหารเม็ดและอื่นๆ อีกจำนวนมาก รวมทั้งค่าจ้างอาสาสมัครมาช่วยดูแลสุนัขด้วย”

“โดยมีรายได้จากการที่ จ.ลำปาง ตั้งตู้รับบริจาคเพื่อน้องหมาตามศูนย์การค้าภายใน จ.ลำปาง แต่ได้เพียงเดือนละ 10,000 บาท มอบให้กับวัด ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย แม้จะมีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคปัจจัยผ่านธนาคาร และรายได้จากกิจนิมนต์พระสงฆ์ ที่นำมาเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว ถ้าบริจาคเป็นปัจจัยวัดสามารถจ่ายค่ารักษาสุนัข ซื้อยาซื้อของที่จำเป็นสำหรับสุนัขได้โดยตรง แต่ถ้าไม่สะดวกจะบริจาคเป็นอาหารเม็ดวัดก็ขออนุโมทนา”

คณะสงฆ์วัดเวฬุวนาราม วอนช่วยเหลือสุนัขจรจัด

“อย่างไรก็ตามวัดยืนยันจะดูแลสุนัขเหล่านี้ต่อไป ไม่สามารถทอดทิ้งไปได้ จึงขอบอกผู้ที่เลี้ยงสุนัข ต้องมีความรัก ผูกพันและดูแลอย่างดี ไม่ใช่เลี้ยงเฉพาะตอนยังเล็กที่น่ารัก พอโตขึ้นมาหรือสุนัขเจ็บป่วยไม่รักษาและเอาไปปล่อยทิ้งให้คิดถึงชีวิตเขาชีวิตเรา

ทุกคนก็รักตัวเอง ถ้าหากเลี้ยงไม่ไหวก็ส่งมาให้วัดเลี้ยงดูได้ และผู้ที่จะนำสุนัขมอบให้วัดขอให้ฉีดวัคซีนทำหมันให้เรียบร้อย เพื่อที่จะได้ไม่ออกลูกเพิ่ม ไม่ต้องเป็นภาระของวัดหรือของคนอื่นต่อไป”

ทั้งนี้ สามารถร่วมบริจาคปัจจัยเพื่อน้องหมาวัดเวฬุวนาราม พระมหาวิชัย อัคคเตโช บัญชี ธ.ไทยพาณิชย์ สาขาลำปาง เลขที่บัญชี 502-263-439-8

อีกทั้งบริจาคปัจจัยเพื่อช่วยซื้ออาหารสุนัข หรือนำอาหารสุนัขไปบริจาคด้วยตนเองได้ที่วัดเวฬุวนาราม ถนนสายลำปาง-เด่นชัย ก.ม.ที่ 23 เลขที่ 389 ม.8 ต.แม่ทะ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง เยื้องศูนย์สร้างทางลำปาง หรือโทร. 08-1998-4518 ได้ทุกวัน

ขอบคุณ https://www.khaosod.co.th/